วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

Skydrive


           SkyDrive คือ พื้นที่สาหรับเก็บข้อมูลออนไลน์ของค่ายยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือไมโครซอฟท์นั่นเอง สกายไดร์ฟถูกนามาให้บริการได้พักใหญ่ๆ แล้วแหละ พอดีเพิ่งจะลองเข้าไปใช้บริการวันนี้ เลยถือโอกาสนามาบอกกล่าวให้ได้ทราบด้วยว่าแจ่มไม่แจ่ม หรือไม่? อย่างไร? บริการนี้สาหรับคนที่มีบัญชีของไมโครซอฟท์ ไม่ว่าจะเป็น @hotmail.com, @msn.com, @windowslive.com ใช้ได้หมด ใครที่ยังไม่มีก็ต้องไปสมัครก่อน บทความนี้จะพูดถึง SkyDrive เลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทุกท่านมีบัญชีของไมโครซอฟท์พร้อมอยู่แล้ว เมื่อพร้อมที่จะเข้าไปทดลองใช้งานด้วยกันก็คลิ๊กเลย ที่นี่! จากนั้นให้เลือก ลงชื่อเข้าใช้

ความหมายหรือข้อจำกัดของการใช้ทั้ง 3 รายการ มีดังนี้

          ส่วนบุคคล : ใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องใช่หรือไม่ ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด คุณสามารถจัดเก็บและเข้าถึงไฟล์ส่วนบุคคลต่างๆ จากที่ใดก็ได้แบบออนไลน์
          ใช้งานร่วมกัน : แบ่งปันข้อมูลร่วมกับเพื่อน ผู้ร่วมงาน หรือครอบครัวได้อย่างง่ายดายเมื่อทุกคนเพิ่มและอัปเดตไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ใช้งานร่วมกัน
          โฟลเดอร์สาธารณะ : อย่าเก็บความคิดดีๆ ไว้กับตัวคุณเพียงคนเดียว ร่วมแบ่งปันความคิดเหล่านี้ในโฟลเดอร์สาธารณะที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่อัปเดตได้
          SkyDrive ถึงแม้จะมาทีหลังกว่าเจ้าอื่นๆ แต่ความน่าเชื่อถืออาจล้ำหน้ากว่า การใช้งานก็พร้อมใช้ได้เลยเนื่องผู้ใช้ทั่วไปมีบัญชีอยู่แล้ว รูปแบบที่ชัดเจนที่จัดเตรียมไว้ให้อาจเป็นที่ชื่นชอบสำหรับท่านที่ไม่ต้อง การความยุ่งยาก

          ส่วนบุคคล : ใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องใช่หรือไม่ ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด คุณสามารถจัดเก็บและเข้าถึงไฟล์ส่วนบุคคลต่างๆ จากที่ใดก็ได้แบบออนไลน์
          ใช้งานร่วมกัน : แบ่งปันข้อมูลร่วมกับเพื่อน ผู้ร่วมงาน หรือครอบครัวได้อย่างง่ายดายเมื่อทุกคนเพิ่มและอัปเดตไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ใช้งานร่วมกัน
          โฟลเดอร์สาธารณะ : อย่าเก็บความคิดดีๆ ไว้กับตัวคุณเพียงคนเดียว ร่วมแบ่งปันความคิดเหล่านี้ในโฟลเดอร์สาธารณะที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่อัปเดตได้
          SkyDrive ถึงแม้จะมาทีหลังกว่าเจ้าอื่นๆ แต่ความน่าเชื่อถืออาจล้ำหน้ากว่า การใช้งานก็พร้อมใช้ได้เลยเนื่องผู้ใช้ทั่วไปมีบัญชีอยู่แล้ว รูปแบบที่ชัดเจนที่จัดเตรียมไว้ให้อาจเป็นที่ชื่นชอบสำหรับท่านที่ไม่ต้อง การความยุ่งยาก
  จะว่าไปเจ้า Skydrive ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ MSN ให้บริการนี้ในต่างประเทศให้ได้ใช้มาสักพักนึงแล้ว   และที่เปิดให้คนไทยใช้ตอนนี้ก็ถือว่าเร็วกว่าที่คิด  ทีนี้คนไทยจะได้มีที่เก็บไฟล์อย่างสบายใจสักที  แถมไม่ต้อง Register ใหม่ เพราะใช้ได้กับ Account Hotmail/IM ที่เรามีกันอยู่แล้ว และยังแชร์กับ Account Hotmail อื่นๆ ได้อีก
          Skydrive หรือเรียกเต็มๆ ว่า Windows Live Skydrive นั้นโดดเด่นที่ความจุถึง 5GB  ฟังดูเหมือนไม่เยอะ แต่พอเปรียบเทียบเป็นจำนวนไฟล์แล้วก็น่าตกใจเหมือนกัน เพราะ 5GB ที่ว่านี้  สามารถให้คุณเก็บ files office documents ได้ประมาณ 30,000 files หรือ เก็บภาพดิจิตอลได้ถึง 30,000 ภาพ!!!!   ไม่น้อยนะเนี่ย
          นอกจากขนาดบรรจุไฟล์ที่ให้กันฟรีๆ ถึง 5GB แล้ว  เจ้า Skydrive ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีก เช่น กระดานความคิดเห็น ใส่ข้อมูลประกอบไฟล์ หรือ่เลือกดูภาพดิจิตอลแบบขยายใหญ่ อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบแชร์รูปให้โหลดกัน
         
วิธีการใช้งาน Windows Live SkyDrive
  • Windows Live Mail
  • Windows Live Spaces
  • Windows Live Messenger
  • Windows Live Photo Gallery
  • Windows Live SkyDrive
  1. พื้นที่ฟรีถึง 25 GB (สุดยอด)  สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เหมือนมีที่เก็บไฟล์ออนไลน์ผู้อื่นสามารถใช้ไดร์ฟร่วมกับเราได้ (ต้องมี Account ของ Microsoft)สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์ของเพื่อนแต่ละคนสามารถกำหนดสิทธิ์เพื่อนแต่ละคนในการจัดการไฟล์ในโฟลเดอร์ได้แบ่งปันไฟล์กับผู้อื่นเป็นสาธารณะสร้างโฟลเดอร์เองในไดร์ฟได้นำ URL และ Embed ไปใช้ในเว็บได้ เหมือนเป็นที่ฝากรูปฝากไฟล์ใช้งานง่ายเช่นเดียวกับหน้าต่างวินโดวส์อาจจะมีอีก แต่ยังนึกไม่ออก =.=
เก็บข้อมูลบนคลาวด์ (ฟรี) บน SkyDrive หรือ Google Drive หรือ Dropbox ดี
         วันนี้ผมขอแนะนำบริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะใช้เก็บและแบ่งปันข้อมูล หรือซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้แล้ว ผู้ให้บริการบางรายยังมีบริการสำหรับเปิด สร้างและแก้ไขไฟล์เอกสารอีกด้วย นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การเก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์ยังช่วยลดปัญหาแฟลชไดรฟ์หายหรือติดไวรัสได้อีกด้วย
  • จุดเด่น: SkyDrive ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมากถึง 7 GB สามารถแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์แบบ Share with anyone ได้ นอกจากนี้ ยังอินทิเกรตกับบริการ Office Web App ทำให้สามารถสร้างและแก้ไขเอกสาร Microsoft Word, Microsoft PowerPoint และ Microsoft Excel ได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม Microsoft Office ได้อีกด้วย
  • ข้อสังเกต: SkyDrive App ปรับแต่งการทำงานได้จำกัด, ไม่สนับสนุน Windows XP
  • จุดเด่น: สามารถแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์แบบ Share with anyone ได้ สามารถอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้สูงสุด 2 GB ไคลเอนต์ Dropbox รับแต่งการทำงานได้
  • ข้อสังเกต: ให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีเพียง 2 GB ไม่รองกับสร้าง เปิด และแก้ไขเอกสาร Microsoft Word, Microsoft PowerPoint และ Microsoft Excel
  • จุดเด่น: Google Drive รองรับการอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้สูงสุด 5 GB, สามารถสร้างและแก้ไขเอกสาร สเปรดชีต และงานนำเสนอ ผ่านทาง Google Docs ได้ สามารถใช้เก็บและแบ่งปันรูปภาพจะต้องใช้บริการ Google+ และ Picasa ได้
  • ข้อสังเกต: ยังไม่มีโปรแกรมไคลเอนต์ Google Drive เวอร์ชันสำหรับไอแพดและไอโฟน (ระบบปฏิบัติการ iOS)
  • SkyDrive ของไมโครซอฟท์มีค่าบริการถูกที่สุด โดยมีพื้นที่ความจุให้เลือก 3 ขนาด คือ 20 GB, 50 GB และ 100 GB ในอัตราค่าบริการประมาณ 300 บาท (10$), 750 บาท (25$) และ 1,500 บาท (50$) ต่อปี ตามลำดับ
  • Google Drive มีพื้นที่ความจุให้เลือก 2 ขนาด คือ 25 GB และ 100 GB ในอัตราค่าบริการประมาณ ค่าบริการประมาณ 900 บาท (30$) ต่อปี และ 1,800 บาท (60$) ต่อปี ตามลำดับ
  • Dropbox มีพื้นที่ความจุให้เลือก 2 ขนาดคือ 50 GB และ 100 GB ในอัตราค่าบริการประมาณ 2,970 บาท (99$) และ 5,790 บาท (199$) ต่อปี ตามลำดับ 
  • ควรศึกษาเงื่อนไขและข้อตกลงให้เข้าใจก่อนก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาภายหลังแม้ว่าผู้ให้บริการทุกรายจะรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้บริการ แต่ถ้าจะเก็บข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ให้ทำการเข้ารหัสก่อนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยแม้ว่าบริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบออฟไลน์ได้ แต่ควรทำการสำรองข้อมูลสำคัญเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เช่น ในแฟลชไดรฟ์ เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาที่คาดไม่ถึง อย่างเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์เสีย หรือระบบอินเทอร์เน็ตมีปัญหา


             เมื่อเข้าสู่การใช้งานจะได้หน้าตาดังรูปที่นามาให้ดู สาหรับบัญชีที่ยังไม่เคยลงชื่อเข้าใช้ในส่วน SkyDrive นี้ อาจมีการให้ยอมรับข้อตกลงก่อนทีจะเข้ามาสู่ส่วนของการใช้งานจริง ก็ต้องตอบยอมรับครับถึงจะใช้ SkyDrive ได้ ทาง SkyDrive จะเตรียมหมวดโฟลเดอร์ไว้ให้ใช้งาน 3 ประเภท คือ ส่วนบุคคล, ใช้งานร่วมกัน และสาธารณะ ก็ให้เลือกใช้ เลือกอัพโหลดไฟล์ไปเก็บไว้ได้ตามต้องการ ภายในโฟลเดอร์เหล่านั้นสามารถสร้างโฟลเดอร์ย่อยได้เพื่อให้สื่อความหมายถึง ข้อมูลที่จะเก็บ ไฟล์หรือโฟลเดอร์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งที่มีอยู่และเราสร้างขึ้นและอัพโหลด ขึ้นไป พื้นที่ที่ SkyDrive อนุญาตให้ใช้ได้รวมแล้ว ไม่เกิน 5 กิกะไบต์ ซึ่งที่ด้านขวามือจะแสดงให้ทราบว่าพื้นที่เหลือเท่าไร ใช้ไปแล้วเท่าไร
ความหมายหรือข้อจากัดของการใช้ทั้ง 3 รายการ มีดังนี้ ส่วนบุคคล : ใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องใช่หรือไม่ ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด คุณสามารถจัดเก็บและเข้าถึงไฟล์ส่วนบุคคลต่างๆ จากที่ใดก็ได้แบบออนไลน์ ใช้งานร่วมกัน : แบ่งปันข้อมูลร่วมกับเพื่อน ผู้ร่วมงาน หรือครอบครัวได้อย่างง่ายดายเมื่อทุกคนเพิ่มและอัปเดตไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ใช้งานร่วมกัน โฟลเดอร์สาธารณะ : อย่าเก็บความคิดดีๆ ไว้กับตัวคุณเพียงคนเดียว ร่วมแบ่งปันความคิดเหล่านี้ในโฟลเดอร์สาธารณะที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่อัปเดตได้
ขอบคุณ...ต้นฉบับ...ครับ เอกสารประกอบการอบรม ? ICT เพื่อยกระดับการเรียนการสอน สพท.นครราชสีมา เขต 7 ? หน้า 2
คุณสมบัติเด่นๆ ของบริการ - พื้นที่เก็บไฟล์ 25 GB สามารถเข้าดูจาก computer เครื่องไหนก็ได้ที่ต่อ internet - สามารถสร้าง Folder แบบต่างๆ ได้ เช่น Folder ส่วนตัวที่เข้าดูได้เฉพาะตัวเราเอง โฟลเดอร์ที่แชร์กับเพื่อนๆ
(Shared folder) และ Public Folder ที่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปดูได้ - Windows Live SkyDrive ใช้งานได้ดีบนคอมพิวเตอร์ Windows หรือ Macintosh ใดๆ ที่ติดตั้ง Firefox 1.5 หรือสูงกว่า
หรือ Internet Explorer 6 หรือสูงกว่า - โฟลเดอร์ส่วนบุคคล มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านโดยใช้ Window Live ID ของเราเอง ดังนั้นคนอื่นจึงดูข้อมูลภายใน
โฟลเดอร์ของเราไม่ได้ - ควบคุมการใช้งานของเพื่อนที่เราอนุญาตได้ ว่าใครคนไหนสามารถเข้าใช้งานโฟลเดอร์ไหนได้บ้าง และกาหนดความสามารถ
การเข้าใช้งาน โดยบางคนเราสามารถกาหนดให้เข้าอ่านอย่างเดียว ส่วนคนอื่นเราอาจให้สามารถแก้ไขหรือลบไฟล์ได้ - Shared folder สามารถกาหนดกลุ่มคนที่เข้าใช้ได้และคนที่เข้ามาใช้ต้องล็อกอินเข้าด้วย Windows Live ID - การ Download หรือ Upload ไฟล์ มีการป้องกันด้วยระบบ Secure Socket Layers (SSL) ดังนั้น ข้อมูลที่ทาการ transfer
จะถูกป้องกันเป็นอย่างดี - ควบคุมการใช้งานของเพื่อนที่เราอนุญาตได้ ว่าใครคนไหนสามารถเข้าใช้งานโฟลเดอร์ไหนได้บ้าง และกาหนดความสามารถ
การเข้าใช้งาน โดยบางคนเราสามารถกาหนดให้เข้าอ่านอย่างเดียว ส่วนคนอื่นเราอาจให้สามารถแก้ไขหรือลบไฟล์ได้ - โฟลเดอร์ที่เป็น โฟลเดอร์สาธารณะ (Public Folder) คนอื่นๆจะสามารถเข้ามาดูได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ - ถ้าเราต้องการแชร์โฟลเดอร์กับใคร สามารถส่งลิงค์ไปให้คนนั้นได้ทันที แต่คนนั้นต้องมี Windows Live ID



หลายคนที่ใช้งานชุดบริการของ Windows Live ของบริษัท Microsoft จะคุ้นเคยกับบริการต่างๆ เช่น
ซึ่งตัวสุดท้ายคือ SkyDrive มีมาได้สักพักนึงแล้ว แต่ไม่เคยได้สนใจเลย
วันนี้เลยถือโอกาสเอามาเขียนไว้ใน Blog ละกัน SkyDrive เหมือนเป็นไดร์ฟออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต
ที่ให้พื้นที่ในการอัพโหลดไฟล์สูงถึง 25 GB ซึ่งสามารถเข้าถึงไฟล์ที่ฝากไว้ได้ทุกที่ ที่ต่ออินเตอร์เน็ต
โดยผู้ใช้งานต้องมี Account ของค่าย Microsoft ได้แก่ @MSN, @Hotmail และ @Live

ข้อดีคือ
มาดูวิธีการใช้กันดีกว่า
ถ้าใช้ MSN อยู่แล้ว ในหน้าต่างหลัก MSN ให้คลิกเข้าไปที่ Go to your space
จากนั้นคลิกที่ Profile เมื่อคลิกที่ Profile เสร็จ ดูเมนูทางด้านซ้ายมือ ให้คลิกที่ SkyDrive
หากใครไม่มี Space ก็สามารถเข้าไปได้โดยตรงที่  http://skydrive.live.com จะให้ Sing In เข้าไป
หาก Login Mail หรือเล่น MSN อยู่แล้วจะเข้ามาที่หน้าต่าง SkyDrive ทันที

เมื่อเข้ามาที่ SkyDrive จะมีโฟลเดอร์ Defult อยู่ 4 โฟลเดอร์
ส่วนที่เป็น Document ที่เก็บไฟล์จะมีอยู่ มี 2 โฟลเดอร์ Documents กับ Public
Documents จะสามารถกำหนดสิทธิการเข้าถึงได้ ว่าจะอนุญาตใครบ้าง
Public จะเป็นไฟล์สาธารณะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน

ส่วนที่เป็น Favorites กับ Shared Favorites จะเป็นที่เก็บลิ้งค์รายการโปรด
Favorites Link รายการโปรดสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงได้
Shared Favorites Link รายการโปรด ที่กำหนดสามารถเข้าถึงได้ทุกคน

ส่วน Photo ด้านล่างจะเป็นรูปภาพที่อยู่ใน Space ของเราซึ่งใช้พื้นที่ส่วนนี้ในการเก็บไฟล์ด้วยเช่นกัน
พื้นที่ว่างที่ยังสามารถใช้ได้จะแสดงอยู่ด้านมุมขวาบน

หากต้องการ Add files หรือ Upload สามารถทำได้ 2 แบบ แบบแรกคลิกที่ Add files
คลิกเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะ Add File

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ให้เลือกใช้บริการหลายรายด้วยกัน แต่ในที่นี้ขอนำมาแนะนำเพียง 3 รายที่เป็นบิ๊กเนม คือ SkyDrive ของไมโครซอฟท์, Google Drive ของกูเกิล และ Dropbox ของดรอปบ็อกซ์ ซึ่งผู้ให้บริการทั้ง 3 รายนี้ มีให้บริการทั้งแบบฟรี และแบบเสียค่าบริการเลือกใช้งาน

ข้อควรทราบ: รายละเอียดและเงื่อนไขการให้บริการเหล่านี้อาจมีการเลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

SkyDrive:
ใช้บริการและดาวน์โหลดแอพได้ที่เว็บไซต์: SkyDrive
การเข้าใช้งาน: ใช้ Windows Live ID (บัญชี Hotmail, MSN Messenger, Passport account หรือบริการอื่นๆ ของไมโครซอฟท์)
SkyDrive เป็นบริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์ซึ่งให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 7 GB การใช้งาน SkyDrive ทำได้จากทั้งเว็บเบราเซอร์และ SkyDrive App จากเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows และ MAC OS X อุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ต ไอแพด ไอแพด ไอโฟน และสมาร์ทโฟนระบบ Windows Phone และ Android สามารถอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้สูงสุด 2 GB สามารถอ่านวิธีการติดตั้งและใช้งาน SkyDrive App ได้ ที่นี่

Dropbox:
ใช้บริการและดาวน์โหลดแอพได้เว็บไซต์: Dropbox
การเข้าใช้งาน: ใช้ที่อยู่อีเมล (บัญชี Gmail, Hotmail หรือบริการอีเมลอื่นๆ) 
Dropbox ให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 2 GB และให้พื้นที่เพิ่ม 500 MB ฟรีเมื่อผู้ใช้ทำการอัปโหลดรูปหรือวิดีโอ 500MB ด้วยฟังก์ชัน Automatic Uploading โดยจะเพิ่มพื้นที่ฟรีสูงสุด 3 GB ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ได้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีสูงสุด 5 GB การใช้งาน Dropbox สามารถเข้าถึงได้ทางเว็บและไคลเอนต์ Dropbox จากเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows, MAC OS X และ Linux อุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ต ไอแพด ไอโฟน และสมาร์ทโฟนระบบ Android และ BlackBerry สามารถอ่านวิธีการติดตั้งและใช้งาน Dropbox ได้ ที่นี่

Google Drive:
ใช้บริการและดาวน์โหลดแอพเว็บไซต์: Google Drive
การเข้าใช้งาน: ใช้ Google Account (บัญชี Gmail หรือบริการอื่นๆ ของกูเกิล) 
Google Drive เป็นบริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ของกูเกิลให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 5 GB การใช้งาน Google Drive สามารถเข้าถึงได้ทางเว็บและโปรแกรมไคลเอนต์ Google Drive จากเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows และ MAC OS X อุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ต Android ส่วนเวอร์ชันสำหรับไอแพดและไอโฟน (ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS) นั้นจะออกในอนาคต สามารถแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์แบบ Share with anyone ได้ สามารถอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้สูงสุด 5 GB สามารถอ่านวิธีการติดตั้งและใช้งาน SkyDrive App ได้ ที่นี่

อัตราค่าบริการสำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติม
อัตราค่าบริการพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ให้บริการแต่ละรายมีดังนี้

Apple iCloud อีกทางเลือกในการเก็บข้อมูลออนไลน์สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ของแอปเปิล:
Apple iCloud เป็นบริการเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ของแอปเปิลให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 5 GB สามารถเข้าถึงได้ทาง ไอแพด ไอโฟน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ Apple iCloud

เลือกใช้บริการเก็บช้อมูลแบบคลาวด์ของใครดี?
เนื่องจากทั้ง SkyDrive, Google Drive และ Dropbox มีบริการแบบฟรี ดังนั้น หากต้องการใช้งานเพียงแต่เก็บและแบ่งปันข้อมูลจึงสามารถเลือกใช้งานได้อย่าง อิสระหรือจะใช้บริการทั้ง 3 รายก็ได้เช่นกัน โดย SkyDrive ให้พื้นที่มากที่สุด (7 GB) แต่โปรแกรม SkyDrive App ไม่สนันสนุน Windows XP ในกรณี ต้องการใช้งานมากกว่าการเก็บรูปและแชร์ไฟล์ อย่างเช่น สร้างและแก้ไขเอกสารจะมี 2 ตัวเลือก คือ SkyDrive และ Google Drive สำหรับ กรณีต้องการพื้นที่มากขึ้น ผู้ให้บริการที่ง 3 ราย มีบริการแบบเสียค่าบริการ โดย SkyDrive มีอัตราค่าบริการที่ถูกที่สุดและมีอ็อปชันความจุให้เลือกหลายแบบ


คลิปวิดิโอ  การใช้งาน PowerPoint 2010 ผ่านเว็บ Skydrive





ที่มา : ICT เพื่อยกระดับการเรียนการสอน สพท.นครราชสีมา เขต 7

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network)

 ความรู้เกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network)
          ประวัติความเป็นมาโซเชียลเน็ตเวิร์ก
 การแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตได้ monumentally ปฏิวัติวิธีที่เราโต้ตอบกับแต่ละอื่น ๆ ตั้งแต่การถือกำเนิดของอีเมล, บูเลทีนระบบคณะกรรมการที่ปัจจุบันเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเทคโนโลยีได้ถูก ผนวกเข้ากับการสื่อสารที่จะกลายเป็นโฟกัสที่โดดเด่นของยุคดิจิตอลใหม่ infographic นี้จะพาคุณผ่านทางประวัติศาสตร์ของเครือข่ายสังคมสถิติเกี่ยวกับการที่เรามี วันนี้และให้เหลือบของที่เราอาจจะมุ่งหน้าไป ในปัจจุบัน โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นสิ่งที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นและบุคคลที่ต้องการสื่อสาร สัมพันธ์กัน แม้ว่า โซเชียลเน็ตเวิร์ก จะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถติดต่อสัมพันธ์กันในทางบวก แต่จากการศึกษาพบว่าในทางกลับกันโซเชียลเน็ตเวิร์กก็สามารถเป็นสื่อที่ก่อ ให้เกิด อันตรายได้ในเวลาเดียวกัน เรื่องของ Social Network น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับยุคนี้ เพราะมนุษย์ยุคเราๆท่านๆนี้ มีแนวโน้มที่จะมีสายสัมพันธ์ต่อกันตามธรรมชาติลดน้อยลง อันจะเห็นได้จาก พูดคุยกันต่อหน้าน้อยลง, ครอบครัวไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน, คนบ้านใกล้เรือนเคียงพูดจากันน้อยลงและอาจไม่รู้จักกัน, ญาติสนิทมิตรสหายไปมาหาสู่กันน้อยลง, เพื่อนฝูงที่มีก็เป็นเพื่อนที่ทำงาน หรือเพื่อนร่วมงานเสียส่วนใหญ่ และมักคบกันเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายทางกิจการงานธุรกิจเป็นสำคัญ, เพื่อนเก่าสมัยเรียนยังเหลือติดต่อกันอยู่ไม่กี่คนและมีแนวโน้มค่อยๆลดลง ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาพทางสังคมที่ผลักดันให้ต้องดิ้นรนแข่งขันกัน เน้นไปทางวัตถุนิยม จนลืมนึกถึงเรื่องของความสุขทางใจ และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ ที่สามารถตอบสนองในการให้คนได้สื่อสารกันง่ายขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงทำให้ โทรศัพท์มือถือ อาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบันไปแล้ว (ในประเทศไทยแทบจะมีทุกคนทุกอาชีำพ) และอาจเสริมด้วยอีเมลล์ (E-mail) ในการติดต่อสื่อสารที่ต้องการลายลักษณ์อักษร บันทึกย่อ หรือส่งไฟล์เอกสาร ไฟล์ภาพ ให้กันแทนการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ แนวโน้มที่การสื่อสารสมัยใหม่ได้เข้ามาทดแทนการสื่อสารแบบดั้งเดิมนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่องดังที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงข้อนี้... Social Network

           social network  คือ สังคมของโลกแห่งอินเตอร์เน็ท หรือเรียกว่าสังคมของมนุษย์ที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยีต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางด้านอินเตอร์เน็ท ทางโทรศัพท์ ทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และอื่น ๆ ที่ไร้สายในโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันนี้รูปแบบของเว็บไซต์ที่เป็น โซเชียล เน็ตเวิร์คได้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งเว็บในรูปแบบของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ เว็บที่คุณสามารถ “สร้าง” ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนได้ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายจาก เพื่อนสู่เพื่อน ทำให้ติดต่อสื่อสารกันสะดวกมากยิ่งขึ้นแต่ในทางกลับกันก็มีภัยด้านมืดของโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว‘การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์กที่แพร่หลาย พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน  นักศึกษา  มีเพียง 4 ใน 100 คน ที่รู้ด้านลบของการใช้ โซเชียล เน็ตเวิร์ก  และรู้ว่าต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง’  เป็นคำกล่าวของ ปริญญา หอมเอนก นักวิชาการและกรรมการและเลขานุการ สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ ปริญญา มองว่า กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กที่มาแรงมากๆ แต่การเล่นโซเชียล เน็ตเวิร์กกำลังกลายเป็นดาบสองคม   ถ้าใช้ไม่ระวังก็จะเป็นภัยกับตัวเอง  รวมทั้งองค์กร โดยเฉพาะการทวิต หรือ โพสต์ข้อมูลที่อาจเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรไซเบอร์  ใช้เป็นข้อมูลในการคุกคามผู้ใช้ได้ง่ายๆ 




แนวโน้มที่
โซเชียลเน็ตเวิร์คกำลังมุ่งไป .....-->>


1. โซเชียลเน็ตเวิร์คกลายเป็นกิจกรรมที่ผู้ใช้เน็ตให้เวลามากที่สุด  ในปี 2011 ที่ผ่านมานี้ กิจกรรมบนโซเชียลเน็ตเวิร์คคิดเป็น 19% หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเวลาที่ผู้ใช้เน็ตล็อกอินเข้าสู่โลกออนไลน์ ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มจาก 7% เมื่อปี 2007 ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ส่วนกิจกรรมที่ผู้ใช้เน็ตใช้เวลารองลงมาคือการสื่อสาร (อีเมล+ข้อความสนทนา)




    2. สัดส่วนและพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละประเทศ ผู้ใช้เน็ตชาวสหรัฐ 98% ใช้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์ค ในขณะที่จีนมีเพียง 53% และญี่ปุ่นมีเพียง 58% แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็มีสัดส่วนผู้ใช้งาน 94% แต่ในภาพรวมแล้ว โซเชียลเน็ตเวิร์คก็เข้าถึงประชากรชาวเน็ตอย่างมาก comScore ได้สำรวจข้อมูลการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คใน 43 ประเทศ ผลคือมี 41 ประเทศที่มีผู้ใช้เน็ตใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คเกิน 85%


ประเทศที่ผู้ใช้เน็ตใช้เวลากับโซเชียลเน็ตเวิร์คมากที่สุดคืออิสราเอล 11.1 ชั่วโมง ตามด้วยอาร์เจนตินาและรัสเซีย แต่ถ้าคิดแยกตามภูมิภาคของโลก เอเชียแปซิฟิกใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพียง 11% ของเวลาทั้งหมดที่อยู่บนเน็ต ในขณะที่ละตินอเมริกา ตัวเลขนี้สูงถึง 28%  กลุ่มประเทศที่ใช้เวลากับโซเชียลเน็ตเวิร์คน้อยที่สุดคือเอเชียตะวันออก ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยด้านวัฒนธรรมการใช้เน็ต มากกว่าเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางไอที
    3. Facebook เป็นผู้นำสำคัญในทุกๆ เรื่องของโซเชียลเน็ตเวิร์ค ปัจจุบัน Facebook เป็นเครือข่ายเว็บที่มีคนเข้าเป็นอันดับสามของโลก เป็นรองเพียงเว็บในเครือกูเกิลและไมโครซอฟท์เท่านั้น และในปีนี้ Facebook มีผู้ใช้เกินครึ่งของประชากรเน็ตโลกไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใช้เน็ตใช้งาน Facebook คิดเป็นเวลา 3/4 ของเวลาที่ใช้กับโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกชนิด  ถึงแม้ Facebook จะเป็นผู้นำในโลกโซเชียล แต่ก็ยังมีตลาดบางประเทศที่เจาะไม่เข้าเช่นกัน โดยปี 2010 Facebook เป็นผู้นำใน 30 ประเทศจาก 43 ประเทศที่ comScore เก็บสถิติ แต่ในปี 2011 นี้ Facebook สามารถโค่นผู้นำในแต่ละประเทศลงได้อีก 6 แห่ง เพิ่มจำนวนแชมป์เป็น 36 ประเทศจากทั้งหมด 43 ประเทศ 6 ประเทศที่ถูก Facebook ยึดครองตลาดได้แก่ โปรตุเกส เม็กซิโก เยอรมนี อินเดีย ไต้หวัน และเนเธอร์แลนด์
ประเทศที่ comScore สำรวจที่เว็บโซเชียลเน็ตเวิร์คท้องถิ่นยังสามารถทานกระแสอันไหลบ่าของ Facebook อยู่ได้ มีเหลืออยู่ 7 ประเทศคือ บราซิล จีน ญี่ปุ่น โปแลนด์ รัสเซีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม ซึ่งถ้าดูจากกราฟจะพบว่าสถานการณ์ในบราซิลและโปแลนด์ เว็บท้องถิ่นกำลังจะเพลียงพล้ำให้กับ Facebook เช่นกัน

 4. พลังแห่งไมโครบล็อก ไมโครบล็อกหมายถึงการส่งข้อความขนาดสั้นๆ แบบที่ Twitter ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับ Facebook แต่ก็มีความสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ ทุกวันนี้ Twitter เข้าถึงประชากรเน็ต 1/10 ของโลก และมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้ที่ร้อนแรงคือ 59% ในรอบปีที่ผ่านมา จุดที่น่าสนใจคือพลังของการเชื่อมโยงผู้ใช้ทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเพื่อนเหมือนกับ Facebook ทำให้ Twitter สามารถสะท้อนความเห็นของชาวโลกต่อเหตุการณ์สำคัญๆ รอบโลก ไม่ว่าจะเป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬา ข่าวการเสียชีวิตของคนดัง หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลก นอกจาก Twitter แล้ว โลกยังมีบริการไมโครบล็อกอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมในบางประเทศ เช่น Weibo ของจีน หรือ Tumblr ซึ่งมีความสามารถด้านมัลติมีเดียเยอะกว่า Twitter ในหลายด้าน

 

5. ตลาดใหญ่ของโซเชียลเน็ตเวิร์ค คือตลาดนอกสหรัฐอเมริกา เดิมทีโซเชียลเน็ตเวิร์คมักจับกลุ่มตลาดผู้ใช้ในสหรัฐ ตามมาด้วยชาติตะวันตก แต่ในรอบปีหลัง ผู้ใช้กลุ่มใหญ่ของโซเชียลเน็ตเวิร์ครายใหญ่ของโลก กลับมาจากประเทศอื่นๆ นอกสหรัฐ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

      Facebook และ Twitter มีผู้ใช้จากนอกสหรัฐใกล้เคียงกันคือประมาณ 80% ส่วน Windows Live ของไมโครซอฟท์มีสัดส่วนถึง 90% ที่น่าสนใจคือ โซเชียลเน็ตเวิร์คจากนอกสหรัฐเองก็เริ่มมีผู้ใช้นอกประเทศของตัวเองมากขึ้น เช่น VKontakte ของรัสเซีย มีผู้ใช้ 43% ที่มาจากนอกรัสเซีย

6. โซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ใช่เป็นแค่โลกของคนรุ่นใหม่เท่านั้น ถึงแม้ในช่วงแรก กลุ่มผู้ใช้หลักของโซเชียลเน็ตเวิร์คจะเป็นเด็กและวัยรุ่น แต่ในรอบปีหลัง เราเห็นคนวัยทำงานเริ่มเข้ามา และยังมีกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้ามาใช้งานอย่างมีนัยยะสำคัญ


 สถิติที่น่าสนใจอีกอันคือ ประชากรผู้ใช้เน็ตกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ในหลายๆ ประเทศมีสัดส่วนการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่สูงมาก เช่น ในสหรัฐ ประชากรผู้ใช้เน็ตที่อายุเกิน 55 ปีจำนวนถึง 94.7% ระบุว่าตัวเองใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ส่วนตัวเลขของละตินอเมริกาอยู่ที่ 93%

7. คนรุ่นใหม่หันมาสื่อสารด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์คแทนอีเมลการสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คเริ่มมาแทนการสื่อสารแบบเดิมๆ ในโลกไอทีอย่างอีเมลและการส่งข้อความด่วน (instant messaging) โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัล (digital native) ผลการสำรวจของ comScore ในกลุ่มผู้ใช้เน็ตอายุ 15-24 ปี พบว่าการใช้อีเมลลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุ

8. โซเชียลเน็ตเวิร์คเริ่มยึดวงการโฆษณาออนไลน์ในสหรัสถิติของ comScore ระบุว่าตอนนี้วงการโฆษณาออนไลน์สหรัฐ แสดงโฆษณา 1 ใน 4 บนโซเชียลเน็ตเวิร์ค และ 5% ของโฆษณาทั้งหมดในโลกออนไลน์ของสหรัฐ มีความเป็น “โซเชียล” คือเชื่อมต่อกับเครือข่ายเฟซบุ๊กหรือโซเชียลเน็ตเวิร์คอื่นๆ

     อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คจะมีส่วนแบ่งในแง่ “จำนวนครั้ง” ของการโฆษณา แต่ในแง่ “จำนวนเงิน” ของโฆษณากลับยังดึงดูดได้ไม่เยอะเท่าใดนัก คือเพียง 15% ของเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์เท่านั้น (หมายเหตุ ไม่นับรวมโฆษณาผ่านระบบค้นหาแบบที่กูเกิลใช้)


9. ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่า เว็บไหนจะดังต่อจาก FACEBOOKตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า Facebook เป็นราชาแห่งโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คเต็มตัว สามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นๆ และผงาดขึ้นมาเป็นแชมป์แบบทิ้งห่าง แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีเว็บไซต์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ครายไหนเจริญรอยตาม Facebook ได้แบบเดียวกันบ้าง


ปี 2011 ยังเป็นปีที่เราได้เห็นการเปิดตัว Google+ ของกูเกิล ซึ่งมาแรงในช่วงแรก และมียอดสมาชิกแตะ 25 ล้านรายเร็วกว่าใคร (เร็วกว่า Facebook/Twitter ในอดีตมาก) อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ Google+ ยังต้องสู้อีกยาวไกล กว่าจะขึ้นไปทาบรัศมี Facebook ในปัจจุบันได้

10. เทคโนโลยีมือถือจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนโซเชียลเน็ตเวิร์ค  เทคโนโลยีมือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กำลังเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในการขับเคลื่อนการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยมีผู้ใช้ที่ระบุว่าใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คบนมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ  กลุ่มผู้ใช้มือถือ 64% ในสหรัฐ ตอบคำถามว่าใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คบนมือถือเป็นประจำทุกเดือน


ประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ก 
 1. Identity Network เผยแพร่ตัวตนใช้สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทางอินเตอร์เน็ทสามารถสร้างอัลบั้มรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้
 2.Creative Network เผยแพร่ผลงาน สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง
 3.Interested Network ความสนใจตรงกัน Del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking โดยเป็นการ Bookmark เว็บที่เราสนใจไว้บนอินเทอร์เน็ตสามารถแบ่งปันให้คนอื่นดูได้และยังสามารถ บอกความนิยมของเว็บไซด์ต่างๆได้ โดยการดูจากจำนวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ Digg นั้นคล้ายกับ del.icio.us แต่จะมีให้ลงคะแนนแต่ละเว็บไซด์ และมีการ Comment ในแต่ละเรื่อง Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Digg แต่เป็นภาษาไทย
 4.Collaboration Network ร่วมกันทำงาน คือเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆของซอฟต์แวร์  WikiPedia เเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่างๆ ไว้มากมาย ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่นได้ใช้ด้วย จึงทำให้มีสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา
 5.Gaming/Virtual Reality โลกเสมือนสองตัวอย่างของโลกเสมือนนี้ มันก็คือเกมส์ออนไลน์นั่นเอง SecondLife เป็นโลกเสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนเสมือน (Virtual Community) สามารถซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ได้
 6.Peer to Peer (P2P) P2P เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง Client (เครื่องผู้ใช้, เครื่องลูกข่าย) กับ Client โดยตรง โปรแกรม Skype จึงได้นำหลักการนี้มาใช้เป็นโปรแกรมสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต และก็มี BitTorrent เกิดขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว แต่ทว่ามันก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์
ประโยชน์โซเชียลเน็ตเวิร์ก
1. โซเชียลเน็ตเวิร์ก จะเป็นการสร้างเครือข่ายและจุดประกายด้านการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง หากใช้ได้อย่างถูกวิธี
 2. ทำให้ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด
 3. ผู้ใช้สามารถสร้างเครือข่ายทางสังคม แฟนคลับหรือผู้ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน และทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้
 4. สามารถสร้างมิตรแท้ หรือเพื่อนที่รู้ใจที่แท้จริงได้
 5. โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นซอฟแวร์ที่เอื้อต่อผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัวทางสังคม ขาดเพื่อน อยู่โดดเดี่ยว หรือผู้ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ให้มีเครือข่ายทางสังคม และเติมเต็มชีวิตทางสังคมได้อย่างดี ไม่เหงาและปรับตัวได้ง่ายขึ้น
 6. สร้างเครือข่ายที่ดี สร้างความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจที่ดีแก่ผู้อื่นได้

  โทษโซเชียลเน็ตเวิร์ก

1. โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นการขยายเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นการมีเพิ่มเพื่อนเครือข่ายที่ไม่รู้จักดีพอ จะทำให้เกิดการลักลอบขโมยข้อมูล หรือการแฝงตัวของขบวนการหลอกลวงต่างๆได้
 2. เพื่อน ทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง Wall ของ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้
 3. โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจเป็นช่องทางในการสร้างสังคมแห่งการนินทา หรือการยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสังคมที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
 4. การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้
 5. เด็กๆที่ใช้เวลาในการเล่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก มากเกินไป จะทำให้เสียการเรียน
 6. ในการสร้างความผูกพันและการปรับตัวทางสังคมเป็นการพบปะกันในโลกของความจริง มากกว่าในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นผู้อยู่ในโลกของไซเบอร์มากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาทางจิต หรือขาดการปรับตัวทางสังคมที่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก ตั้งแต่ยังเด็ก
 7. โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจเป็นแรงขับให้มีการพบปะทางสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงที่น้อยลงได้ เนื่องจากทราบความเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ในเครือข่ายอย่างตลอดเวลา
 8. นโยบาย ของบางโรงเรียน บางมหาวิทยาลัย บางครอบครัวหรือในบางประเทศมีปัญหามากมายที่เกิดจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ได้รับการอนุญาตให้มีในหลายพื้นที่

การใช้งานของโซเชียลเน็ตเวิร์ก 

รายการ Social Network ที่เรายกมาเป็นตัวอย่างนี้ เราคัดจาก Social Network ที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป และ มีจุดเด่น เช่น เป็นของคนไทย เป็นต้น Bebo D-Looks Facebook Flickr Friendster Hi5 Multiply myFri3nd MySpace

  การใช้กับการเรียน 
            ทุกวันนี้คำว่า "เว็บไซต์ โซเชียล เน็ตเวิร์ก" หรือ "เครือข่ายสังคมออนไลน์" ไม่ใช่คำใหม่ในสังคมอีกแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ทำให้โลกปัจจุบันกลายเป็นโลกที่ไร้พรมแดนไปแล้ว ทว่า การเข้ามาของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ก็เป็นเสมือน "ดาบสองคม" ที่มีทั้งด้านดี และด้านเสีย ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใช้จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเกิดโทษแก่ตัวเอง ในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน "โซเชียล เน็ตเวิร์ก" ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ครูผู้สอน และนักเรียนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น นอกเหนือจากเวลาที่อยู่ในห้องเรียน ดังเช่นที่ "คณะกรรมการด้านการศึกษา" ของรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐฯ เพิ่งจะมีมติไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ในการเห็นชอบที่จะกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับการนำเอา "โชเชียล เน็ตเวิร์ก" มาใช้ในฐานะเครื่องมือการเรียนการสอน ยกตัวอย่างในกรณีของ "เฟชบุ๊ก" หรือ "มาย สเปช" เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยม ซึ่งทางคณะกรรมการฯ เล็งเห็นว่า แทนที่บรรดาเด็กนักเรียนจะอาศัยเว็บไซต์เครือข่ายฯ เหล่านี้ ในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือใช้เป็นพื้นที่ในการบอกกล่าวความรู้สึกของตนต่อคนรอบข้างเพียงอย่าง เดียว แต่แอพลิเคชั่น หรือฟังก์ชั่นต่างๆ ของเว็บไซต์เหล่านี้ ยังสามารถเชื่อมโยงพวกเขากับสถาบันการศึกษา หรืออาจารย์ผู้สอนได้ด้วย เช่น การสั่งรายงาน ส่งการบ้าน หรือแม้กระทั่งแจ้งเตือนเกี่ยวกับวันเวลาสอบ เป็นต้น ขณะเดียวกัน การที่ครูเข้ามาอยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ยังสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ ได้เป็นหูเป็นตา ในการสอดส่องดูแลผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาศัยช่องทางการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดน นี้ เข้ามาสร้างความเสียหาย หรือก่อภัยคุกคาม โดยเฉพาะอาชญากรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศแก่พวกเด็กๆ ได้ ดังที่มีข่าวครึกดครมอยู่บ่อยๆ กรณีของ "คิมิยะ ฮากิกิ" นักเรียนสาววัย 17 ปี ที่กำลังศึกษาในระดับเกรด 11 ของโรงเรียนแลงเลย์ ไฮสคูล ก็อีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ โดยก่อนหน้านี้เธอมีปัญหาเกี่ยวกับการเขียนเช่นเดียวกับนักเรียนส่วนใหญ่ใน ชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษของ "อ.อูเบรย์ ลุดวิก" ทว่าครูผู้สอนของเธอได้แนะนำให้เธอ และเพื่อนในชั้นเรียนใช้ "ทวิตเตอร์" ส่งข้อความหากัน แล้วผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เมื่อปัญหาการเขียนที่เคยเยิ่นเย้อ และประณีตเกินไปก่อนหน้าได้รับการแก้ไข อันเป็นผลจากการ "ทวิต" ข้อความซึ่งมีการจำกัดอักขระอยู่ที่ไม่เกิน 140 ตัวอักษรต่อครั้งเท่านั้น

ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550  พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18  มิถุนายน  2550 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป

        ทําไมต้องมี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจําวันมีการใช้คอมพิวเตอร์ โดยมิชอบส่งผลเสียต่อบุคคลอื่นมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือลามกอนาจารจึงต้องมีมาตรการควบคุม


ความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์
้   ที่ผู้อนจัดทําขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทําให้เสียหายทําลายแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
- การกระทําเพื่อให้ การทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ รบกวนการใช้ ระบบคอมพิวเตอร์ ของคนอื่นโดยปกติสุข
- การจําหน่ายชุดคําสั่งที่จัดทํา้ขึ้นเพื่อนําไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทําความผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่นผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทําความผิด
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

ผู้ให้บริการที่ระบุใน พ.ร.บ. นี้คือบุคคลใด ????
ผู้ให้บริการตาม พ.ร.บ.นี้ สามารถจําแนกประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
  • ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์ระบบดาวเทียมระบบวงจรเช่าหรือบริการ สื่อสารไร้สาย
  • ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดยอินเทอร์เน็ตทั้งผ่านสายและไร้ สายหรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่จัดตั้งขึ้นในเฉพาะองค์กรหรือหน่วยงาน
  •  ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ (Host ServiceProvider)
  • ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆที่เรียกว่า content provider เช่นผู้ให้บริการ web board หรือ web service เป็นต้น
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต
ในฐานะบุคคลธรรมดาไม่ควรกระทําในสิ่งต่ิอไปนี้เพราะอาจจะทําให้ “เกิดการกระทําความผิด"ตามพรบ.นี้
  1. ไม่ควรบอก password แก่ผู้อื่่น
  2. อย่าให้ผู้อนยืมใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต.
  3. อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทํางานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
  4. อย่าเข้าสู่ระบบด้วย user ID และ password ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
  5. อย่านํา user ID และ password ของผู้อนไปใช้งานหรือเผยแพร่
  6. อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความหรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
  7. อย่ากด "remember me"หรือ "remember password" ที่เครืองคอมพิวเตอร์สาธารณะและอย่า log-in เพื่อทําธุรกรรมทางการเงินที่เครืองสาธารณะ
  8. อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN)  ที่เปิดให้ใช้ฟรีโดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล
ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
1. เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขาแล้วเราแอบเข้าไปจําคุก 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
2. ไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นแล้วไปยังไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่ เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
3. แอบไปเจาะข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่ เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
4. แอบไปดักจับข้อมูลผู้อนระหว่างการสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่ เกิน 60,00 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
5. ไปแก้ไขข้อมูลของในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่ เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
6. ส่ง packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ wormหรืออะไรก็ตามเข้าไปก่อกวนจนระบบผู้อื่นจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่ เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
7. ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ให้ผู้อื่นซ้ำๆโดยผู้รับไม่ได้ร้องขอปรับไม่เกิน 100,000 บาท
8. ความผิดผิดข้อ 5. กับข้อ 6.ทําให้บุคคลทัวไปเกิดความเสียหายจําคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หากก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจและสังคมจําคุกตังแต่ 3-5 ปี และปรับตังแต่ 60,000 - 300,000 บาท
**และถ้าทําให้ใครตายก็จะเพิมโทษเป็นจําคุกตังแต่ 10 ปีถึง 20 ปี**
9. ถ้าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อทําให้ทำความผิดในหลายข้อข้างต้นจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ

10. สร้างภาพโป๊ เรื่องเท็จ ทําการปลอมแปลง กระทําการใดๆ่ที่กระทบความมั่นคง ก่อการร้ายและส่งต่อข้อมูลทั้งๆที่รู้ว่าผิดตามที่กล่าวมาข้างต้นจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
11. เจ้าของเว็บ สนับสนุน / ยินยอมให้เกิดข้อ 10.จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
12. เอารูปผู้อื่นมาตัดต่อแล้วเอาไปเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ



    คลิป พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550


วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความรู้้เรื่องอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต : ความหมาย

              อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคําว่า InterconnectionNetwork หมายถึง"เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทัวโลกโดยใช้โปรโตคอล (Protocol )เป็นมาตรฐานในการติดต่อสื่อสาร

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ : โปรโตคอล


ชุดของกฎหรือข้อตกลงในการแลกเปลียนข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครืองสามารถรับ-ส่ งข้อมูลระหว่างกันได้ถูกต้อง

IPX/SPX
เป็นโปโตคอลทีใช้ในเครือข่ายทีใช้ระบบ
ปฏิบัตการ Netware


NetBIOS และ NetBEUI
เป็นโปรโตคอลทีบริษทไอบีเอ็ม พัฒนาร่วมกับ
บริษัทไมโครซอฟต์ใช้ในเครือข่ายทีใช้ระบบ
ปฏิบัตการWindows เวอร์่ชั่นต่างๆ


TCP/IP
เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้ กันอย่างแพร่หลาย
ในระบบอินเทอร์เน็ตและมีแนวโน้มว่า
จะถูกนํามาใช้ แทนโปรโตคอลอื่น

คอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง  ทุกระบบ สามารถติดต่อสื่่อสารกันได้
ด้วยเกณฑ์มาตรฐานโปรโตคอล

อินเทอร์เน็ต : ประวัติ
         อินเตอร์ เน็ตพัฒนาขึ้นเมื่อ ค.ศ.1969 ในยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตที่แข่งขันกันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์โซเวียตส่งดาวเทียมดวงแรกสู่ห้วงอวกาศอเมริกาจึงเริมพัฒนาเครือข่ายสื่อสารทางทหารชื่อ ARPANET ขึ้น

            โดยออกแบบระบบให้ เหมือนร่างแหที่กระจายไปทั่วให้ั่มั่นใจว่าหากถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์เครือข่ายก็จะไม่ ถูกตัดขาด ยังมีทางส่งข้อมูลอ้อมไปได้
        เมื่อภาวะสงครามคลายลง

เครือข่ายอินเตอร์ เน็ตไม่มีความจําเป็นที่จะใช้เฉพาะเครือข่ายทางการทหารอีกต่อไปเครือข่ายจึงขยายตัวออกไปสู่ธุรกิจด้านต่างๆทัวโลกมีการเชื่อมต่อนับพันล้านเครื่องในเวลาทีรวดเร็ว

         ค.ศ.1973(พ.ศ.2516)มีการเชื่อมโยงเครือข่ายอาร์พาเน็ต กับมหาวิทยาลัยลอนดอนประเทศอังกฤษ และได้เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ กลุ่มอืน ๆอีกหลายเครือข่ายทังในยุโรปและอเมริกาเช่น


  • NSFNET (National Science Foundation Network)
  •  CSNET ( Computer Science Network)
  • EUNET (European Unix Network )
เกิดเป็นเครือข่ายในลักษณะ “เครือข่ายของเครือข่าย”


อินเทอร์ เน็ตในประเทศไทย

          ปี พ.ศ.2529 
อาจารย์กาญจนา กาญจนสุต  จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) ร่วมกับ
อาจารย์โทโมโนริ คิมูระ จากสถาบันเดียวกันร่วมสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยอาศัย


  •  โมเด็ม NEC ความเร็ว 2400 Baud
  •  เครืองคอมพิวเตอร์ พซี NEC
  • สายโทรศัพท์ ทองแดง
          ในปี พ.ศ.2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซียเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยเชื่อมโยงแม่ข่ายไปทีมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ตั้งชื่อโครงการนี้ว่า TCSNet (Thai Computer Science Network)มีการติดต่อผ่านเครือข่ายวันละครั้งจ่ายค่าใช้จ่ายปีละ หมื่นบาท และใช้ซอฟต์แวร์ SUNIIIซึงเป็นระบบปฏิบตการ UNIX ทีแพร่หลายในออสเตรเลีย(Australian Computer Science Network - ACSNet)นอกจากนีสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซียยังเป็นศูนย์เชื่อม (Gateway) ระหว่างประเทศไทย กับ
UUNET อันส่งผลให้นักวิชาไทยทั่วไปสามารถใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างกว้างขวาง
         ปัจจุบัน UUNetเป็น ISP ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีเครือข่ายทัวสหรัฐให้บริการ connection ตังแต่ Kbps ถึง Mbpsและยังเชื่อมต่อไปยังทวีปยุโรปเอเชีย และ ออสเตรเลียด้วยรวมๆ แล้ว UUNet บริการ Internet ถึง ประเทศ
           บริษท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย(Internet Thailand)โดยใช้ สายเช่าครึ่งวงจรขนาด Kbps ไปยัง UUNet เป็นผู้ให้ บริการอินเทอร์เน็ต เชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย
           พฤศจิกายน 2544 แปรรูปพ้นสถานะรัฐวิสาหกิจโดยกระจายหุ้นส่วนใหญ่ให้ กับประชาชนผู้สนใจในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและได้ เ่พิ่มจํานวนจนเป็น 18 บริษัท

การเ่ชื่อมต่ออินเทอร์ เน็ตในประเทศไทย
          อินเทอร์เน็ต ในอดีตการเข้าถึงโครงข่ายใช้ คอมพิวเตอร์ ต่อผ่านโทรศัพท์ บ้านผ่านโมเด็มเป็นอุปกรณ์ โทรฯเรียกเข้าศูนย์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider: ISP) หรือทีเรียกกันทัวไปว่า Dial Up คิดค่าบริการเป็นชัวโมง

การใช้โมเด็มโทรฯเรียกเข้าศูนย์บริการมีอตราการส่งข้อมูล ที 28.8 kbpsเนื่องจากว่าสายโทรศัพท์ ที่ทําจากลวดทองแดงมีคุณสมบัติให้สัญญาณทางไฟฟาทีมีความถีไม่เกินกิโลเฮิร์ซ หรือ กิโลบิตต่อวินาที

การเชือมต่อแบบหมุนโทรศัพท์ ( Dial up connection )
          เป็นวิธีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยใช้สายโทรศัพท์และติดต่อผ่านโมเด็ม(Modem)เพื่อติดต่อกัคอมพิวเตอร์ ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตซึ่งโดยทั่วไปได้ แก่ ISP (Internet Service Provider)



  ส่วนประกอบของการเชื่อมต่อ
            1. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ( PC: Personnel computer)
            2. หมายเลขโทรศัพท์พื้นฐาน
            3. โมเด็ม ( Modem )
            4. ชั่วโมงอินเทอร์ เน็ตจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP)




โมเด็ม (Modulator Demodulator : Modem)
มีหน้าทีแปลงสัญญาณข้อมูลจากดิจิทัลให้ เป็นอนาลอกและส่งผ่านสายโทรศัพท์ ไปยังปลายทาง ด้วยความเร็ว 56 Kbps ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าโทรศัพท์ ครั้งละ 3  บาทและค่าบริการอินเทอร์ เน็ตชัวโมงละประมาณ 3 - 12 บาท




           ปลายศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีโมเด็มได้ ถูกพัฒนาความเร็วเพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล (Data Compression)  สามารถส่งความเร็วได้ สูงถึง kbps ภายใต้ข้อจํากัดอัตราการรับส่งข้อมูลของโครงข่ายสายทองแดงเดิมที่มีอยู่ทั่วโลก

          ยุคอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงพัฒนาการรับส่งข้อมูลผ่านสายทองแดงเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค Digital Subscriber Lineหรือ DSL พัฒนาการรับส่งข้อมูลผ่านสายลวดทองแดงให้ เชื่อมต่ออินเทอร์ เน็ตความเร็วสูงได้สามารถรับส่งข้อมูลความเร็วได้ ตั้งแต่ Mbps จนกระทั่งถึง Mbps


การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสื่ออืนๆ
         นอกจากนันยังมีการเชือมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านข่ายสายไฟฟ้า (Broadband Power Line)
ล่าสุดผู้ให้บริการไฟฟ้าทั้งสามแห่งได้ รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก กทช.ให้ สามารถให้ บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้าในประเทศได้


         ต่อมาเทคโนโลยีไร้สายเริ่มแพร่หลายในวงการโทรคมนาคมโดยเ่ริ่มจากการใช้   WiFi  ของ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เชือมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายนอกจากนันก็ยงมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม ที่รู้จักกันในนาม  iPSTAR  เรียกได้ว่าเป็นดาวเทียมแบบ interactive ดวงแรก




และพัฒนาเป็น WISP หรือ Wireless ISP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงไร้สายที่เรียกโดยรวมว่า Broadband Wireless Access(BWA) หรือชื่อทางการค้าอย่าง WiMax เป็นต้นWiMAX กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ การเชื่อมต่อ






บริการอินเตอร์เน็ต Internet
          World Wide Web  เป็นเครือข่ายย่อยของอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นในปี 1989 โดยทิม เบอร์ เนอร์ ลี             นักวิศวกรรมซอฟต์แวร์ จากห้องปฏิบัตการทางจุลภาคฟิสิกส์ แห่งยุโรปหรือ CERN (Conseil European

pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยใช้ตัวอักษรและภาพกราฟิก ข้อมูลจะอยู่ในลักษณะของมัลติมเีดียแสดงผลในรูปของ hypertext links
          บริการค้นหาข้อมูลผ่านเครือข่าย WWW (World Wide Web)WWW เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลต่างๆในอินเทอร์เน็ตได้ง่ายและสะดวกด้วยลักษณะของการแสดงผลในรูปของ Hypertext Links  ซึงเป็นวิธีการที่จะเชื่อมโยงข้อมูลจากเอกสารหนึ่งไปยังเอกสารอื่นๆได้ อย่างสะดวก

          WWW จะอยู่ในลักษณะของมัลติมเีดีย  (Multimedia) คือ มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง และภาพ
เคลื่อนไหวผู้ใช้ สามารถค้นหาข้อมูลเกือบทุกประเภทผ่านทางเครือข่ายนี้ได้ไม่ว่าเป็นบทความ ข่าว
งานวิจัย  ข้อมูลสินค้  หรือบริการต่างๆสาระบันเทิงประเภทต่างๆ รวมถึงฟังเพลงและชมภาพยนตร์

โปรแกรมค้นดูเว็บ (Web Browser )

         โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ จะทํางานโดยดึงข้อมูลซึ่งจัดเก็บอยู่ในรูปแบบทีเรียกว่ า HTML (HyperText MarkupLanguage) มาจากเว็บเซิร์ฟเวอร์ และแปลความหมายของรูปแบบข้อมูล ที่ได้กำหนดเอาไว้เพื่อนาเสนอแก่ผู้ใช้

Microsoft Internet Explorer (IE)

       

        เป็นเว็บเบราว์ เซอร์ ที่กําลังได้รับความนิยมมากทีสุดผลิตโดย บริษท Microsoft มีประสิทธิภาพสูงเป็นโปรแกรมที่จัดให้ มาพร้อมกับระบบปฎิบตการ windows ตังแต่ windows 95 เป็นต้นไป









Plawan Browser
        พัฒนาโดยคนไทย สามารถใช้ งานได้ ดีในระดับเดียวกับเว็บบราวเซอร์ ชั้นแนวหน้าอื่นๆแต่ีมีความสะดวกในการใช้งานมากกว่าทั้งนี้เนื่องจากเมนูการใช้งานสามารถสลับภาษาภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้









วัตถุประสงค์ในการใช้อินเทอร์เน็ต


1. เพื่อการสื่อสาร (communication) เช่น e-mail chat และ  webboard


2. เพื่อข้อมูลข่าวสาร (information)เป็นลักษณะของการใช้ งานสารสนเทศผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ (www)



3. เพื่อความบันเทิง (entertainment) เช่น เว็บไซต์ บนเทิง เกมส์ คอมพิวเตอร์ การดูหนังฟังเพลง


4. เพื่อดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจ (business) เช่น เป็นช่องทางโฆษณา ประชาสัมพันธ์ แสดงสินค้า
และให้บริการลูกค้า เป็นต้น

ระบบการแทนชื่อในอินเทอร์เน็ต การเรียกชื่ออินเทอร์เน็ตมีระดับดังนี้

  1. IP Address (Internet Protocol Address)
  2. DNS (Domain Name System)
  3. URL (Uniform Resource Locator)



1. IP Address  เป็นหมายเลขประจําเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเป็นหมายเลขให้ คอมพิวเตอร์ เครื่องอื่นๆเชื่อมโยงถึงได้ แต่หมายเลขจํายาก





2. Domain Name System  คือ ระบบการแทนหมายเลขไอพีของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยชื่อทีสื่อความหมายและเข้าใจได้ง่าย


หน่ วยงาน

3. URL (Uniform Resource Locator)  เป็นหลักการกําหนดชื่ออ้างอิงของทรัพยากรต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถบ่งบอกชื่อหรือแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอร์ ในเครือข่าย และโปรโตคอลที่ใช้งาน
       Hyper Text Transport Protocol (HTTP) กฎเกณฑ์ การส่ งไฮเพอร์ เท็กซ์ (เอชทีทพ) มาตรฐานอินเทอร์ เนตที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนเวิลด์ ไวด์ เว็บโดยการกําหนดที่ตั้งทรัพยากรที่สอดคล้องกัน
รวมถึงแฟ้มที่เข้าถึงได้ในกฎเกณฑ์ การถ่ายโอนแฟ้ม (FileTransfer Protocol : FTP)
       กฎเกณฑ์ การส่งไฮเพอร์ เท็กซ์ให้ ผู้เขียนเว็บสามารถฝังจุดเชื่อมโยงหลายมิติ(hyperlink) ในเอกสารในเว็บได้ เมื่อคลิกแล้วจุดเชื่อมโยงจะเริ่มกระบวนการถ่ายโอนข้อมูลซึ่งเข้าถึงและค้นคืนเอกสารให้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องทําสิ่งใดโดยไม่ต้องทราบว่าเอกสารนั้นมาจากที่ใดหรือเข้าถึงได้อย่างไร
         ภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ รูปแบบหนึ่งที่มีลกษณะเป็นภาษาในเชิงการบรรยายเอกสารแบบไฮเปอร์มเีดีย (hypermedia document description language)

วิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

     *การเ่ชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบต่างๆ
     *การเชื่อมต่ อแบบหมุนโทรศัพท์ ( Dial up connection )
     *ISDN (Integrated Services Digital Network)
     *ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Line)
     *Cable Modem *Satellite *Leased Line
     *WiFi
    *WiMax *Air card


โปรแกรมค้นหา (Search Engine)

  • โปรแกรมค้ นหาแบบศัพท์ ดชนี (Index Search Engine)
  • โปรแกรมค้ นหาแบบศัพท์ อิสระ (Keyword Search Engine)
  • โปรแกรมค้ นหาแบบหลายโปรแกรม (Meta Search Engine)
  • บัญชีรายชือเว็บไซต์ (Web Directory)
โปรแกรมค้นหา (Search Engine)
          เป็นโปรแกรมที่คอยอ่านข้อมูลแต่ละหน้าหรือเว็บเพจจากเว็บไซต์ต่างๆ โดยอัตโนมัติจากนั้นจึงนําเว็บเพจที่อ่านได้มาทําดัชนีเก็บไว้ในฐานข้อมูลเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลหรือเว็บเพจเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทําหน้าที่ค้นหาข้อมูลรูปภาพ หรือเว็บเพจ ในรูปแบบเท็กซ์หรืออื่นๆ
         เป็นโปรแกรมทีคอยอ่านข้อมูลแต่ละหน้าหรือเว็บเพจจากเว็บไซต์ต่าง ๆ จากนั้นจึงนําเว็บเพจทีอ่านได้มาทําดัชนีเก็บไว้โดยอัตโนมัติเว็บไซต์ทำให้ บริการโปรแกรมค้นหาจะถูกเขียนขึนให้มีโปรแกรม
         ประเภทโรบอท(Robot) สไปเดอร์ (Spider) ครอเลอร์ (Crawler)ทําหน้าที่เข้าไปสํารวจในเว็บไซต์ ต่างๆ แล้วนําคําสําคัญที่มีในหน้านั้น ๆ มาทําเป็นดัชนีเพื่อส่ง URL ของเว็บนั้น ๆ มาแสดงให้ผู้ใช้ทราบ

โปรแกรมค้นหาแบบศัพท์ัดัชนี (Index Search Engine)
           เป็นโปรแกรมค้นหาที่ใช้โรบอท สไปเดอร์ หรือ ครอเลอร์ เข้าไปสํารวจข้อมูลในส่วนที่ผู้จดทำเว็บไซต์กาหนดให้เป็นคําค้นจากเอกสาร HTML ในเว็บต่ างๆ เพื่อนําคําเหล่านั้นมาจัดทําเป็น
ฐานข้อมูลที่ใช้สําหรับสืบค้นเหมาะกับผู้ใช้ทำต้องการค้นหาสารสนเทศด้วยศัพท์ดัชนีที่เป็น่ทีรู้จักแพร่ หลายตัวอย่างของโปรแกรมค้นหาทีใช้วิธีค้นหาแบบศัพท์ดัชนี ได้ แก่  www.lycos.com  www.hotbot.com เป็นต้น 
โปรแกรมค้นหาแบบศัพท์อิสระ (Keyword Search Engine)
          เป็นโปรแกรมค้นหาทําหน้าที่เข้าไปอ่านหน้าของเอกสารของเว็บต่างๆแล้วนําคําสําคัญที่ปรากฏอยู่ในแต่ละหน้ามาจัดทําเป็นฐานข้อมูลโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้ ป้อนคําค้นโปรแกรมจะค้นคืนสารสนเทศจากคําหรือข้อความที่ตรงกับคําค้นนั้นๆ มาแสดงและลิงค์ไปถึงได้ผู้ใช้สามารถใช้คำ หรือวลี เพื่อใช้ เป็นคําค้นได้อสระโปรแกรมค้นหาแบบศัพท์อิสระ ได้แก่  www.google.com www.altavista.com เป็นต้น

โปรแกรมค้นหาแบบหลายโปรแกรม (Meta Search Engine)
          โปรแกรมค้นหาแบบหลายโปรแกรม (Meta Search Engine)โปรแกรมประเภทนี้ไม่มีการจัดทําฐานข้อมูลเป็นของตนเองแต่ จะไปดึงเอาข้อมูลจากฐานข้อมูลอื่นๆ มาแสดงผล ตัวอย่างของโปรแกรมประเภท้ได้แก่ www.dogpile.com www.metacrawler.com

ค้่นจากบัญชีรายชื่อเว็บไซต์ (Directory)
         โดยจะมีเจ้าหน้าที่คัดเลือกและพิจารณาจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์เหล่านั้นข้อดีก็คือ จะทําใหามารถเลือกเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคุณภาพดีมารวบรวมไว้ได้  web ที่ให้บริการบัญชีรายชื่อเว็บไซต์  ได้แก่  www.yahoo.com www.looksmart.com   www.sanook.com www.hunsa.com



การค้นหาข้อมูลด้วย search engine  เทคนิคการค้นหาโดยใช้คำสําคัญ (keyword) หาโดย 
  1. คําสําคัญที่เป็นภาษาไทย
  2. คําสําคัญที่เป็นภาษาอังกฤษ
  3. คําสําคัญที่มีทั้งภาษาปนกัน
1.) คําสําคัญที่เป็นภาษาไทยต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ นักคณิตศาสตร์คําสําคัญอันดับแรกก็คือนักคณิตศาสตร์แต่อาจดูกว้างไป และผลการค้นหาก็มากเกินไปหลายสิบหน้าดังนั้นจึงต้องจํากัดผลการค้นหาให้แคบลงเช่นต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ นักคณิตศาสตร์ ชาวกรีกคําสําคัญทีใช้ ได้แก่ นักคณิตศาสตร์ และคําว่ากรีกจะได้ผลการค้นหาจํานวนน้อยลงง่ายที่เราจะเลือกลิงค์ที่ต้องการได้                                              ในกรณีที่คําสําคัญนั้นแสดงผลการค้นหาว่าไม่ พบข้อมูลที่ต้องการ ห้ลองเปลี่ยนคําสําคัญใหม่ ไปเรื่อยๆคําสําคัญควรระบุอย่างน้อยคําจะทําให้ผลการค้นหาแคบลงเท่าทีต้องการ

2.) คําสําคัญที่เป็นภาษาอังกฤษถ้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ นักคณิตศาสตร์ ชาวกรีก  เป็นภาษาอังกฤษ คําสําคัญคําแรกอาจใช้  greek mathematician และถ้าใช้ เครืองหมาย “ ” คร่อมระหว่างคําสํ าคัญคู่ใดๆผลการค้นหาจะแตกต่างกัน  “greek mathematician”







3.) คําสําคัญที่เป็นภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ เช่น ต้องการเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง ไฟฟากระแส คําสําคัญที่ใช้ได้ เช่น
1) ไฟฟากระแสตรง “direct current”
2) “direct current” ไฟฟา กระแสตรง
3) “direct current” เนือหา  ฯลฯ

การใช้คำสําคัญในทางตรรกศาสตร์คําในวิชาตรรกศาสตร์ที่ใช้ ได้แก่  AND OR NOT  วิธีการใช้งานมีดังนี้
1. AND ใช้เมื่อต้องการให้ผลการค้นหา
ประกอบด้ วยคําสําคัญทีอยู่ตดกับคําว่า AND ทังสองคําเช่น “chemistry” AND “atomic theory”  หมายความว่าให้ค้นหาข้อมูลทีมีคาว่า  chemistry และคําว่า atomic theory ทั้ง คําอยู่ในเอกสารเดียวกัน
การใช้ คาสําคัญในทางตรรกศาสตร์

คําในวิชาตรรกศาสตร์ทใช้ได้แก่ AND OR NOT
2. OR ใช้เมื่อต้องการให้ ผลการค้นหาประกอบด้วยคําสําคัญตัวใดตัวหนึ่งทีอยู่ตดกับคําว่า OR เช่น “physics” OR “mechanics” หมายความว่าให้ค้นหาข้อมูลที่มีคำว่า physics หรือ mechanics  คําใดคําหนึ่งก็ได้
การใช้คาสําคัญในทางตรรกศาสตร์

คําในวิชาตรรกศาสตร์ทีใช้ได้แก่ AND OR NOT
3. NOT ใช้เมื่อต้องการให้ผลการค้นหาประกอบด้วยคําสําคัญที่อยูหน้าคําว่า NOT แต่ไม่ตองค้นหา
่คําที่อยูหลังคําว่า NOT เช่น mathematics NOT calculusหมายความว่า ให้ค้นหาข้อมูลที่มีคาว่า mathematics แต่ต้องไม่มีคำว่า calculus อยู่ด้วย


อินทราเน็ตต์ Intranet
        อินทราเน็ต(Intranet) คือ ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกันอินเทอร์เน็ต แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ง หรือระบบเครือข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทั่วประเทศ เป็นต้น เป็นการสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเปิดบริการคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเกือบทุกอย่าง แต่ยอมให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น เป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งาน ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตในองค์กร ก็คือ "อินทราเน็ต" นั่นเอง แต่ในช่วงที่ชื่อนี้ยังไม่เป็นที่นิยม ระบบอินทราเน็ต ถูกเรียกในหลายชื่อ เช่น Campus network, Local internet, Enterprise network เป็นต้น 
   

                อินทราเน็ตคืออะไร     ในยุคที่อินเตอร์เน็ตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัทธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ต ในการโฆษณา การขายหรือเลือกซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในขณะที่องค์กรบางแห่งที่ไม่มุ่งเน้นการบริการข้อมูลอินเตอร์เน็ตระหว่างเครือข่าย ภายนอก แต่จัดสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและเปิดให้บริการในรูปแบบเดียวกับที่มีอยู่ในโลก ของอินเตอร์เน็ตจริง ๆ โดยมีเป้าหมายให้บริการแก่บุคลากร ในองค์กร จึงก่อให้เกิดระบบอินเตอร์เน็ตภายในองค์กร เรียกว่า "เครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet)" เครือข่ายอินทราเน็ตนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในปี พ.ศ.2539 แต่แท้ที่จริงแล้วได้มีผู้ริเริ่มพูดถึงชื่อนี้ตั้งแต่ สี่ปีก่อนหน้าแล้ว หลังจากนั้นระบบอินทราเน็ตจึงได้ได้รับความนิยมมากขึ้น ในยุคแรก ๆ ระบบนี้มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เช่น แคมปัสเน็ตเวิร์ก (Campus Network) โลคัลอินเตอร์เน็ต (Local Internet) เอนเตอร์ไพรท์เน็ตเวิร์ก (Enterprise Network) เป็นต้น แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดคือชื่อ อินทราเน็ต ชื่อนี้จึงกลายเป็นชื่อยอดนิยมและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
           
ประโยชน์อินทราเน็ต อินทราเน็ตเข้ามาประยุกต์ใช้ในหน่วยงาน สามารถสรุปได้ดังนี้
1. การสื่อสารเป็นแบบสากล ผู้ใช้ระบบอินทราเน็ตสามารถส่งข่าวสารในรูปของ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมาตรฐานสากลระหว่างผู้ร่วมงานภายในหน่วยงานและผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งอยู่ภายนอกหน่วยงานได้
2. อินทราเน็ตใช้มาตรฐานเครือข่าย และโปรแกรมประยุกต์ได้เช่นเดียวกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีใช้อย่างแพร่หลาย และผ่านการยอมรับให้เป็นมาตรฐานตามความนิยมไปโดยปริยาย โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้ได้หลากหลาย
3. การลงทุนต่ำ ด้วยความต้องการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คล้ายคลึงกับที่ใช้ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมายและราคาต่ำ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายการวางระบบเครือข่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ ค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนกับระบบอื่น ๆ
4. ความน่าเชื่อถือ เทคโนโลยีที่ใช้นั้นได้ผ่านการทดลองใช้และปรับปรุง จนกระทั่งอยู่ในสถานภาพที่มีความเชื่อถือได้สูง
5. สมรรถนะ สามารถสื่อสารข้อมูลรองรับการส่งข้อมูลที่ประกอบด้วย ข้อความ ภาพและเสียงได้
             ในปัจจุบัน บริษัทธุรกิจชั้นนำในประเทศต่าง ๆ ได้นำเทคโนโลยีอินทราเน็ตมาประยุกต์ใช้ในองค์กรกันอย่างแพร่หลาย สำหรับอินทราเน็ตในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น และการขยายแนวความคิดให้กับผู้บริหารองค์กร อีกทั้งองค์กรหลายแห่งยังคงไม่พร้อมทั้งด้านงบประมาณ และบุคลากรที่จะเชื่อมโยงสู่อินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง อินทราเน็ตจึงเป็นช่องทางในการพัฒนาและเตรียมความพร้อมในระยะแรก แต่ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก


เอ็กซ์ทราเน็ต 
           ระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายของอินทราเน็ตเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายนอก หรือเชื่อมอินทราเน็ตกับอินทราเน็ตอีกที่หนึ่งเข้าด้วยกัน ลักษณะการทำงานจะเหมือนกันอินทราเน็ตแต่ว่าเชื่อมแต่ละที่ให้เข้าหากัน เพื่อจุดประสงค์การทำงานที่เพิ่มขึ้น เช่นการดูแลจัดการสำนักงานของบริษัทแต่ละสาขาเข้าด้วยกัน เป็นต้น โดยการเชื่อมต่อมักจะปิดกั้นเฉพาะภายใน แต่อาจมีการเปิดให้ผู้ใช้งานภายนอกเข้ามาใช้งานหรือแบ่งระดับการเข้าใช้ข้อมูลได้เช่นกัน



วิดิโอสำหรับการใช้อินเตอร์เน็ต




แหล่งที่มา : http://torauk.freeservers.com/useinter.htm
                   http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=1555